วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความรู้ (Knowledge)

 

จากที่ได้ฟังเพื่อนๆเล่าประสบการณ์
*สิ่งที่ได้จากแอน ชฎาภรณ์ คือความอดทน ความขยันของเพื่อนที่ได้ไปทำงาน ได้ทั้งประสบการณ์ ความรู้ มิตรภาพทำให้เราคิดได้ว่ากว่าพ่อแม่ของเราจะได้เงินมาสักบาทความเหน็ดเหนื่อยของพ่อแม่เป็นอย่งไร ทำให้เห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น
*สิ่งที่ได้จากเฟิน นภัสสร คือ ความอดทนในการทำงานครั้งแรกและการล้างถ้วยไอศกรีมด้วยเครื่องว่าเป็นอย่างไร  *สิ่งที่ได้จาก นิเชตคือเหตุการณ์บ้านเมืองของ3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าทำไมถึงต้องฆ่าฟันกัน ส่วนสิ่งที่ได้จาก มอส จตุพล ก็คือประสบการณ์การทำงานว่าแรกๆกับหลังๆมันต่างกันอย่างไรคนเราเมื่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดยังไม่ได้ตามเป้าหมายก็ต้องรู้จักฝึกตนเอง หาประสบการณ์ใหม่ๆแล้วนำไปแก้ไข ปรับปรุง
   สรุปความรู้ทั้งหมดจากที่ได้ฟังเพื่อนๆเล่าประสบการณ์  คือความอดทน ประสบการณ์ใหม่ๆที่ได้จากการทำ
                                  ความรู้(Knowledge)
-ความรู้คือพลังที่อยู่ในตัวของทุกคนไม่สามารถถ่ายทอดผ่านพันธุกรรมได้ ผู้ใดมีความรู้ก็มีพลังมากสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและทำงานสำเร็จได้โดยง่าย
-ความรู้เป็นทรัพย์สินจับต้องไม่ได้
-ความรู้ที่มีคุณค่าคือความรู้ที่นำมาประยุกต์ใช้งานหรือใช้ประโยชน์ในเวลาและโอกาสที่เหมาะสม
-ความรู้ของผู้ด้อยพัฒนาคือ การมองเห็นใบปริญญาหรือใบรับรองความรู้มาประดับบารมี
-ความรู้จะเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวทุกคนอยู่ที่ว่าใครจะรู้จักนำเก็บมาใช้หรือไม่
การจัดการความรู้(Knowledge  Management)
การจัดการความรู้เป็นกระบวนการที่มีความสลับซับซ้อน ในการที่จะนำความรู้ที่มีอยู่มาสร้าง ขยายผล แบ่งปัน จัดเก็บและใช้ให้เกิดประโยชน์
-การจัดการความรู้ อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญไม่มีการวางแผนหรือขั้นตอนที่เป็นระบบมาก่อน
-การจัดการความรู้ที่ดีไม่มีสูตรตายตัว
KM=การแลกเปลี่ยนเรียนรู้

 

จากภาพจะเป็นการแชร์ความรู้ระหว่างความรู้ของเรากับความรู้ของเพื่อน ทำให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่คือการที่เราได้รับความรู้ใหม่ๆจากที่เพื่อนแชร์มาและเพื่อนก็ได้รับความรู้ใหม่ๆที่เราแชร์ให้

ความเป็นมาของการจัดการความรู้
*Ikujiro Nonaka เป็นผู้บุกเบิกให้การจัดการความรู้ให้เป็นที่รู้จักอีกทั้งยังสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการความรู้และยังได้สร้างแบบจำลองขึ้นมา คือ SECI Model
วิวัฒนาการของการจัดการความรู้
-Pre-SECI-ค.ศ.1978 เป็นยุคของการเริ่มต้นในการจัดการความรู้เป็นระบบที่มีโครงสร้างตายตัว
-SECI-1995 ยุคนี้ได้จำแนกความรู้ออกเป็น2ประเภท คือ Explicit Knowledge
และ Tacit Knowledge
-Post-SECI-2001 จะอธิบายให้รู้ว่าความรู้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเพราะความรู้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้
ประเภทของความรู้
-Explicit Knowledge เป็นความรู้ที่ปรากฏและมองเห็นได้ชัดเจน
-Tacit Knowledge เป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งอาจจะซ่อนเร้นอยู่ในสมองในตัวคนไม่สามารถเผยแพร่ออกมาเป็นคำพูดได้

   

  ที่มา : http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201403/24/60947cd27.jpg

จากภาพเป็นความรู้ที่อยู่ในสมองอยู่ในตัวเราแต่เราไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้ให้เพื่อนฟังได้

การเปลี่ยนแปลงสถานะของความรู้ SECI MODEL
Socialization     เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคน
Externalization  การเผยแพร่
Combination     บันทึกจากสิ่งที่พูดคุยและเป็นกระบวนการที่ทำให้ความรู้สามารถจับต้องได้
Internalization   นำมาจัดให้เป็นระบบ
ความรู้เป็นของใคร
1.ความรู้ของบุคคล
2.ความรู้ขององค์กร
3.ความรู้ของประเทศ
ระดับของความรู้
(SECI  Model)
ที่มา : https://www.l3nr.org/posts/543739

Know-what  เป็นความรู้เชิงข้อเท็จจริง รู้อะไร เป็นอะไร
Know-how   รู้ว่ามันคืออะไรทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งความรู้
Know-why    ทำไปเพื่ออะไร
Care-why     ทำไปแล้วนำมาประยุกต์ใช้อะไรได้บ้าง

กระบวนการพัฒนาความรู้

จากภาพข้างต้น
Data  Facts    ข้อมูล
Information  Meaningful Data  สารสนเทศ
Knowledge  Organised Information  เอาสารสนเทศมาคิด วิเคราะห์ เป็นองค์ความรู้
Wisdom Applied Knowledge ทำให้เกิดปัญญา
Enlightenment  Clarity perception   ทำให้เกิดแสงสว่าง






ที่มา:วิทยากรประจำวิชา
รองศาสตราจารย์ ดร.อรจรีย์  ณ ตะกั่วทุ่ง 
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ความหมายของความรู้
ความรู้ (Knowledge) หมายถึง การเรียนรู้ที่เน้นถึงการจำและการระลึกได้ถึงความคิด วัตถุ และปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นความจำที่เริ่มจากสิ่งที่ง่าย ที่เป็นอิสระแก่กัน ไปจนถึงความจำในสิ่งที่ซับซ้อนและมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน
 ประเภทของความรู้
        แนวคิดในการแบ่งประเภทความรู้ที่น่าสนใจและ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเป็นของMichel Polanyi  และ  Ikujiro
Nonaka โดยเป็นแนวคิดที่แบ่งความรู้ออกเป็น 2  ประเภท คือ
       ความรู้ทั่วไปหรือความรู้ชัดแจ้ง(Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวมถ่ายทอดได้โดยผ่านวิธีต่างๆ
เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรทฤษฎี คู่มือต่างๆและ บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรมการจัดการความรู้เด่นชัด
จะเน้นไปที่การเข้าถึงแหล่งความรู้ตรวจสอบและตีความได้เมื่อนำไปใช้แล้ว เกิดความรู้ใหม่ก็นำมาสรุปไว้เพื่อใช้อ้างอิงหรือ
ให้ผู้อื่นเข้าถึงได้ต่อไป
       ความรู้เฉพาะตัว หรือ ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จาก ประสบการณ์พรสวรรค์หรือ
สัญชาตญาณ  ของแต่ละบุคคลใน การทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็น ความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอด ออกมาเป็นคำพูดหรือ
ลายลักษณ์อักษรได้โดยง่ายเช่น ทักษะในการทำงานงานฝีมือการจัดการความรู้ซ่อนเร้นจะเน้นไปที่การจัดเวทีเพื่อให้มีการ
แบ่งปันความรู้ที่  อยู่ในตัวผู้ปฏิบัติทำให้เกิดการเรียน รู้ร่วมกันอันนำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ที่แต่ละคนสามารถนำไปใช้ใน
การปฏิบัติงานได้ต่อไป
       ซึ่งความรู้ 2 ประเภทนี้จะ เปลี่ยนสถานภาพ สลับปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา บางครั้ง Tacit  ก็ออกมาเป็น  Explicit และ
บางครั้ง Explicit ก็เปลี่ยนไปเป็น Tacit จากความรู้ทั้ง  2  ประเภทสัดส่วนของความรู้ในองค์กรจะพบว่าส่วนใหญ่เป็นความรู้
แบบฝังลึกมากกว่า  ความรู้แบบชัดแจ้ง สัดส่วนได้ประมาณ   80:20 ซึ่งเปรียบเทียบ ได้กับ ภูเขาน้ำแข็งส่วนที่ พ้นเหนือน้ำ
สามารถมองเห็น ชัดเจนเปรียบ ได้กับความรู้แบบชัดแจ้งซึ่งเป็นส่วนน้อย  มากเมื่อเทียบกับส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ เปรียบได้กับ
ความรู้ฝังลึก
ความหมายของ KM
นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ให้ความหมายของคำว่า “การจัดการความรู้” ไว้ว่าสำหรับนักปฏิบัติ การจัดการความรู้ คือ เครื่องมือ เพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ 1) บรรลุเป้าหมายของงาน 2) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน 3) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรเรียนรู้ และ 4) บรรลุความเป็นชุมชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน
 โดย นพ.วิจารณ์ พานิช
โมเดลการจัดการความรู้
โมเดลเซกิ (SECI Model) [8] # ถูกเสนอโดย โนนากะ กับ ทาเคอุชิ (Nonaka และ Takeuchi,1995) คือ แผนภาพแสดงความสัมพันธ์การหลอมรวมความรู้ในองค์กรระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ใน 4 กระบวนการ เพื่อยกระดับความรู้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฎจักร เริ่มจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization) การสกัดความรู้ออกจากตัวคน (Externalization) การควบรวมความรู้ (Combination) และการผนึกฝังความรู้ (Internalization) และวนกลับมาเริ่มต้นทำซ้ำที่กระบวนการแรก เพื่อพัฒนาการจัดการความรู้ให้เป็นงานประจำที่ยั่งยืน
1. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization) S : Tacit to Tacit
      กระบวนการที่ 1 อธิบายความสัมพันธ์ทางสังคมในการส่งต่อระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit knowledge) ด้วยกัน เป็นการแบ่งปันประสบการณ์แบบเผชิญหน้าระหว่างผู้รู้ เช่น การประชุม การระดมสมอง ที่มาจากความรู้ การเรียนรู้ และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เฉพาะเรื่อง เฉพาะพื้นที่ แล้วนำมาแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ที่มิใช่เป็นเพียงการอ่านหนังสือ คู่มือ หรือตำรา
2. การสกัดความรู้ออกจากตัวคน (Externalization) E:Tacit to Explicit
      กระบวนการที่ 2 อธิบายความสัมพันธ์กับภายนอกในการส่งต่อระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) อาจเป็นการนำเสนอในเวทีวิชาการ หรือบทความตีพิมพ์ เป็นการพัฒนาองค์ความรู้ที่ถูกฝังอยู่ในความรู้ฝังลึกให้สื่อสารออกไปภายนอก อาจเป็นแนวคิด แผนภาพ แผนภูมิ เอกสารที่สนับสนุนให้เกิดการสื่อสารระหว่างผู้เรียนรู้ด้วยกันที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งความรู้ฝังลึกจะถูกพัฒนาให้ตกผลึกและถูกกลั่นกรอง แล้วนำไปสู่การแบ่งปัน เปลี่ยนเป็นฐานความรู้ใหม่ที่ถูกนำไปใช้สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในกระบวนการใหม่
3. การควบรวมความรู้ (Combination) C : Explicit to Explicit
      กระบวนการที่ 3 อธิบายความสัมพันธ์การรวมกันของความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) ที่ผ่านการจัดระบบ และบูรณาการความรู้ที่ต่างรูปแบบเข้าด้วยกัน เช่น นำความรู้ไปสร้างต้นแบบใหม่ ไปสร้างสรรค์งานใหม่ ได้ความรู้ใหม่ โดยความรู้ชัดแจ้งได้จากการรวบรวมความรู้ภายในหรือภายนอกองค์กร แล้วนำมารวมกัน ปรับปรุง หรือผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดความรู้ใหม่ แล้วความรู้ใหม่จะถูกเผยแพร่แก่สมาชิกในองค์กร
4. การผนึกฝังความรู้ (Internalization) I : Explicit to Tacit
      กระบวนการที่ 4 อธิบายความสัมพันธ์ภายในที่มีการส่งต่อความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) สู่ความรู้ฝังลึก (Tacit knowledge) แล้วมีการนำไปใช้ในระดับบุคคล ครอบคลุมการเรียนรู้และลงมือทำ ซึ่งความรู้ชัดแจ้งถูกเปลี่ยนเป็นความรู้ฝังลึกในระดับบุคคลแล้วกลายเป็นทรัพย์สินขององค์กร

ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Knowledge

         http://www.th.wikipedia.org/wiki/การจัดการความรู้
ที่มา:www.gotoknow.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น